วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติวันลอยกระทง

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 00:42 0 ความคิดเห็น

   เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่(เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา"มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง

              ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย



ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น


              ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)



จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"


จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง


ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"


กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง


ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ประวัติ

              เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย

              ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง

# เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
# เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
# เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
# ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้ 

แหล่งอ้างอิง http://blog.eduzones.com/rangsit/12371

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีทําให้หน้าใส 10 วิธี

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:26 0 ความคิดเห็น



 ผิวสวย



 สาวสวยผิวหน้าใส ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ แล้วจะทำอย่างไรให้เป็นเจ้าของผิวสวยใสแบบสาวสุขภาพดี

     1. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว สำหรับสาว ๆ ทั้งหลายที่เป็นสิวอยู่ ควรหลีกเลี่ยงของมันทุกชนิด แล้วเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว อย่างผักสดและผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง กล้วย กีวี มะนาว มะเขือเทศ เป็นต้น

     2. ทำทรีทเม้นท์ผิวหน้า เพื่อฟื้นฟูและบำรุงไปพร้อม ๆ กัน อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่ากำลังแนะนำให้สาว ๆ ไปทำทรีทเม้นท์ราคาแพง ๆ นะคะ เพราะนั่นไม่จำเป็นเลย ทรีทเม้นท์นั้นสามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาว หรือดินสอพองผสมมะนาว แค่นี้ก็ถือว่าเป็นทรีทเม้นท์ได้แล้วล่ะค่ะ แต่อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดหลังพอกหน้าทุกครั้งนะคะ

     3. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า โดยหลัก ๆ จะมีเดย์ครีมและไนท์ครีม ซึ่งเดย์ครีมจะเป็นครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับทาตอนกลางวัน ส่วนใหญ่จะมีสารป้องกันแสงแดดจากรังสียูวีในระหว่างวัน ส่วนไนท์ครีม ใช้สำหรับบำรุงผิวยามค่ำคืน

     4. นวดหน้าด้วยน้ำมัน การนวดหน้าด้วยน้ำมันฟังแล้วเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดสิว แต่ความจริงไม่ใช่เลยค่ะ การนวดหน้าด้วยน้ำมันนั้นจะทำให้ผิวหน้าได้ผ่อนคลาย ซึ่งน้ำมันที่ใช้ในการนวดหน้านั้น ได้แก่ น้ำมันลาเวนเดอร์ หรือ เป๊ปเปอร์มินท์

     5. ทำความสะอาดรูขุมขนด้วยไอน้ำ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งวิธีการทำนั้นก็ง่ายมาก ๆ เพียงนำน้ำเดือดมาตั้งแล้วยื่นหน้าไปอังให้ไอน้ำทำความสะอาดใบหน้าคุณ ไอน้ำจะช่วยเปิดรูขุมขนให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างหลุดออกมา

     6. พอกหน้า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการพอกหน้า คือ หลังจากคุณอบไอน้ำใบหน้าแล้ว เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนคุณเปิด ทำให้มาส์กพอกหน้าซึมซับเข้าไปบำรุงผิวภายในได้ง่ายกว่าช่วงเวลาอื่น แต่หลังจากพอกหน้าแล้ว อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดอีกครั้งด้วยนะคะ

     7. อย่าขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป แม้ว่าการขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าจะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสะอาดของผิวก็ตามที แต่การขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อย ๆ นั้นจะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตความมันออกมามากขึ้น และทำให้เกิดสิวได้ง่าย ความถี่ของการขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าที่เหมาะสมอยู่ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น
     8. หากคุณเป็นคนชอบแต่งหน้า ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้าทุกครั้งก่อนล้างหน้า และไม่ควรเข้านอนโดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้า ที่สำคัญ ควรทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ อาจจะสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้งานติดต่อกันนานเป็นปีโดยไม่ซักล้าง เพราะมันสะสมสิ่งสกปรกได้ดีเลยทีเดียว
     9. ยิ้มเพื่อหน้าใส แน่นอนว่าการหมั่นทำอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวได้ ดังนั้น หันมายิ้มเยอะ ๆ กันนะจ๊ะสาว ๆ เพราะนอกจากจะทำให้สิวขึ้นได้ยากแล้ว อารมณ์ที่ดียังทำให้หน้าไม่แก่ก่อนวัยอีกด้วย
     10. ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน หรือวันเว้นวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที สามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่ดี ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผุดผ่องสดใส แถมยังทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้ อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำด้วย

แหล่งอ้างอิง http://women.kapook.com/view42977.html

5 วิธียืดตัวให้สูง วิธีทำให้ตัวสูง

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:23 0 ความคิดเห็น






 สำหรับคนอายุ 17 - 20 ปี (อายุไม่ถึงก็น่าจะทำได้นะค่ะ)

1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เช้า - เย็น)
ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมา ก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด) ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน

2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น
แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้นหรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง
เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น

3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืนและนอนให้เพียงพอ
*(เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)

4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่

5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์และ น้ำอัดลม งดสูบบุรี่ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน

ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร
(แต่ต้องทำทุกวัน)


เครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่น

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:18 0 ความคิดเห็น
    





     ร้อนๆ แบบนี้ลองหาเครื่องดื่มสมุนไพรมาช่วยดับกระหาย เพิ่มความสดชื่นกันดีกว่า เพราะนอกจากจะสดชื่น อร่อยแล้วนั้น 
เครื่องดื่มสมุนไพรยังช่วยเรื่องสุขภาพ ร่างกายในช่วงหน้าร้อนได้ดีค่ะ เรียกว่าความอร่อยมาพร้อมสุขภาพที่ดีกันเลยค่ะ ลองมาทำดื่มกันดูนะคะ

การดูแลสุขภาพในหน้าร้อนก็สำคัญนะคะ เพราะโรคที่จะมาทำลายสุขภาพในหน้าร้อนอย่างเช่น โรคร้อนใน ความดันสูง โรคท้องร่วง โรคท้องเสีย จึงจะพบมากที่สุดในช่วงหน้าร้อนนี้ล่ะคะ การดูแลสุขภาพในหน้าร้อนควรจะใส่ใจกับการรับประทาน และการควบคุมสุขภาพจิตให้อย่าร้อนตามอากาศนะคะ วันนี้เรามีน้ำดื่มสมุนไพรของไทยๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพให้คุณสดชื่น ดื่มแล้วชื่นใจ ผ่อนคลายอากาศร้อนนี้ได้ค่ะ และสรรคุณการดูแลสุขภาพ ครบถ้วนทุกโรคในหน้าร้อนเลยล่ะคะ ลองมาทำรับประทานกันเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและครอบครัวนะคะ 


น้ำกระเจี๊ยบ
นอกจากจะช่วยแก้กระหายน้ำและทำให้สดชื่นแล้ว ยังช่วยเรื่องสุขภาพท้อง ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาระบายอ่อนๆ แถมยังช่วยลดไข้และแก้ไอได้อีกด้วย
ส่วนผสม คือ กลีบดอกกระเจี๊ยบแดงสด หรือแห้ง (ใช้ได้ทั้งสองแบบ) น้ำเปล่า 5 ถ้วย เกลือป่นและน้ำตาลทรายแดงตามชอบ
วิธีทำ แสนง่าย แค่นำกลีบดอกกระเจี๊ยบมาล้างให้สะอาด แล้วใส่ลงในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ จนเนื้อกระเจี๊ยบนุ่ม จากนั้นให้กรองเอาเนื้อออก แล้วนำน้ำกระเจี๊ยบมาต้มไฟอ่อน ๆ ต่อไป จากนั้นให้นำเกลือและน้ำตาลใส่ลงไปตามชอบใจ รอจนน้ำตาลละลายดีแล้วยกลงจากเตาไฟ ตักใส่ขวดแช่เย็นไว้ดื่มยามกระหาย 
นอกจากนี้ ยังนิยมนำกลีบดอกกระเจี๊ยบแดงมาชงเป็นชาสมุนไพร โดนหั่นหรือสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปตากแดดหรืออบให้แห้ง เก็บไว้ในกระป๋องที่ปิดฝาสนิท แล้วนำมาชงเหมือนชงชา
 น้ำเก็กฮวย
ช่วยดับร้อนให้ชื่นใจในช่วงหน้าร้อนแล้ว ยังช่วยเรื่องสุขภาพภายใน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้สดชื่น ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศร้อน
ส่วนผสม มีดอกเก็กฮวยแห้ง 30 กรัม น้ำเปล่า 1 ลิตร และน้ำตาลทรายแดง
วิธีทำ นำดอกเก็กฮวยแห้งมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วใส่หม้อต้มเคี่ยวประมาณ 5 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงชิมรสตามชอบใจ แค่นี้ก็จะได้น้ำเก็กฮวยสีเหลืองอ่อนรสหวานเย็น หากต้องการให้น้ำสีเหลืองอ่องน่าดื่มยิ่งขึ้น ให้ใส่เมล็ดพุดจีนต้มเคียว แค่นี้ก็จะทำให้น้ำเก็กฮวยมีสีสันมากขึ้น
น้ำว่านหางจระเข้
บำรุงร่างกายให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยเรื่องสุขภาพช่องท้องให้ระบบขับถ่ายดี และท้องไม่ผูก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนนอนดึกและอ่อนเพลียช่วยเรื่องการผ่อนคลายสุขภาพจิตได้อีกด้วย
ส่วนผสม มี ใบว่านหางจระเข้ 2 ใบ น้ำต้มสุก 1 ถ้วย และน้ำเชื่อม
วิธีทำ ให้นำใบว่านหางจระเข้ขนาดใหญ่และโตเต็มที่มาปอกเปลือก ล้างน้ำให้หมดยางสี เหลือง จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่น เติมด้วยน้ำสุก และปั่นให้ละเอียด นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมเล็กน้อย และนำมาใส่ขวดที่นึ่งแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ทำเก็บไว้ดื่มไม่เกิน 2 วัน
น้ำรากบัว
พืชโบราณที่กลับมาฮิตที่ครั้งกับน้ำรากบัว ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย และยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายครบถ้วน อย่างเช่นแก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน ขับเสมหะ และบำรุงกำลัง
ส่วนผสม ประกอบด้วย รากบัว 2 ถ้วย น้ำสะอาด 3 ถ้วย และน้ำตาลทรายแดงตามชอบ
วิธีทำ นำรากบัวมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆ นำไปต้มกับน้ำแล้วเคี่ยวจนกระทั่งได้น้ำเป็นสีชมพู แล้วกรองเอากากออก คนที่ชอบหวานก็ให้เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยลงไป จากนั้นนำไปตั้งไฟจนเดือด ชิมรสชาติตามชอบใจ ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำไปบรรจุขวดที่สะอาด และนึ่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีก่อนนำไปเก็บในตู้เย็นเพื่อดื่มเวลาเกิดอาการร้อนใน หรือกระหายน้ำ
น้ำว่านกาบหอย
พืชที่คนสมัยใหม่ยังไม่รู้จัก แต่ช่วยเรื่องสุขภาพในหน้าร้อนได้ดีค่ะ ใช้ดื่มเพื่อแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังแก้ฟกช้ำภายในได้ด้วย
ส่วนผสม ใบว่านกาบหอย 5-15 ใบ น้ำสะอาด 2 ถ้วยครึ่ง และน้ำตาลทราย
วิธีทำ นำใบว่านกาบหอยสดมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นให้นำมาใส่ลงในหม้อน้ำเดือด ต้มให้เดือดประมาณ 3-7 นาที แล้วค่อยเติมน้ำตาลทรายลงไปตามชอบใจ แค่นี้ก็จะได้น้ำว่านกาบหอยสีชมพูอ่อน จากนั้นให้นำมากรองใส่ขวดที่นึ่งแล้ว ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีแล้วค่อยนำไปเก็บในตู้เย็นไว้ดื่ม
น้ำบัวบก
น้ำบัวบกคงรู้จักกันดีอยู่แล้วนะคะ เรื่องบำรุงสุขภาพร่างกายก็ไม่แพ้ใครค่ะ แก้เจ็บคอ กระหายน้ำ แก้ช้ำใน ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วย
ส่วนผสม ใบบัวบกสด 2 ถ้วย น้ำสะอาด 2 ถ้วย และน้ำเชื่อม
วิธีทำ นำใบบัวบกสด ๆ ใหม่ มาล้างให้สะอาด แล้วนำไปสับหรือตำให้ละเอียด จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง สำหรับคนที่ชอบรสหวานก็ให้เติมน้ำเชื่อมลงไปนิดหน่อย แค่นี้ก็จะได้น้ำใบบัวบกสีเขียวใสน่ารับประทาน เวลารับประทานจะใส่น้ำแข็งลงไปนิดหน่อยก็จะช่วยให้สดชื่นมากยิ่งขึ้น 

เห็นไหมว่าเครื่องดื่มสมุนไพรแบบไทยๆ มีส่วนผสมง่ายๆ วิธีทำง่ายๆ แถมยังใช้เวลาไม่มาก ไม่ยุ่งยากอะไร แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มสมุนไพรแก้กระหาย คลายร้อน ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย ทำให้สุขภาพห่างไกลหับโรคที่มาในหน้าร้อนได้ด้วยค่ะ แถมยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆ ด้วย แต่สิ่งที่อยากเตือนไว้ก็คือ น้ำดื่มสมุนไพรเหล่านี้ไม่ควรทำเก็บไว้นานนัก หากแต่ควรทำดื่มเป็นครั้งๆ ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งคุณค่าอาหาร และความหอม สด ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้นด้วย

แหล่งอ้างอิง http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1321&sub_id=86&ref_main_id=12
  


นิทานพื้นบ้าน

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:15 0 ความคิดเห็น


นิทานพื้นบ้าน – พื้นเมืองเวียงจันทร์


อดีตกาลนานมา   เวียงจันทน์กับไทยเป็นศัตรูกัน   ไทยยกทัพไปตีเวียงจันทน์หลายครั้ง แต่ก็ไม่ชนะสักทีทั้งที่มี
กำลังมากกว่า   เพราะเวียงจันทน์มีพระยานาคมาช่วยเหลือ   คือเมื่อเจ้าเมืองตีกลองขึ้น

พระยานาคก็จะโผล่ขึ้นมาจากน้ำพ่นพิษใส่ทหารไทยตายหมด
กษัตริย์ไทยทราบเรื่องจึงวางแผนให้เชียงเมี่ยง   ที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม

ปลอมเป็นหมอมอ(หมอโหร)   เข้าไปในเวียงจันทน์   เมื่อได้โอกาสเข้าพบเจ้าอนุ
เจ้าเมืองเวียงจันทน์   หมอมอทำนายว่าเจ้าอนุวงศ์จะได้รับมรดกที่เป็นเงินฝังไว้ที่ครกมอง
เมื่อเจ้าอนุให้คนไปขุดดูก็ได้พบจริงๆ   จึงทำให้เกิดความศรัทธาเชื่อถือในหมอมอคนนี้มาก
ส่วนสาเหตุที่พบนั้น   เนื่องจากเชียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้ว

ต่อมาเชียงเมี่ยงให้คนทำว่าวติดธนู   แล้วปล่อยขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็น   ได้ยินแต่เสียงธนู

เจ้าอนุแปลกใจมากหาสาเหตุไม่ได้จึงให้เรียกหมอมอมาทำนายดู   หมอมอปลอม(เชียงเมี่ยง)
ก็ทำนายว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนแก่บ้านเมือง   เพราะเสียงนั้นคือภูตผีปีศาจที่ร้องโหยหวนจะลงมากินผู้คน
พระราชา อนุ ถามว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร   หมอมอปลอมบอกว่าจะต้องไปตัดลิ้นกลองใบนั้น
และให้อุดรูพระยานาคเสีย   เสียงนั้นก็จะหายไปและภูติผีปีศาจจะไม่ลงมากินผู้คน
เจ้าอนุหลงกลจึงให้คนทำตาม

ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ให้คนไปตัดสายว่าว   เสียงนั้นก็หายไป   จากนั้นเชียงเมี่ยงก็ให้สัญญาณ

ให้กองทัพของไทยเข้าตีเวียงจันทน์   เจ้าอนุให้คนไปตีกลองเพื่อให้พระยานาคมาช่วย   แต่กลองก็ตีไม่ดัง
เพราะสิ้นลิ้นไปแล้ว   ประกอบกับพระยานาคก็ถูกอุดรู   พระยานาคจึงไม่ได้ขึ้นมาช่วยทำให้เวียงจันทน์ต้องแพ้แก่ไทย
เจ้าอนุนั้นถูกฆ่าตาย   แล้วเวียงจันทน์ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของไทย

audru.jpg (7087 bytes)

นิทานพื้นบ้าน – เที่ยงยังไม่บ่อย


มีชายคนหนึ่งพร้อมกับเพื่อน ไปนั่งรอรถไฟที่สถานี รถจะมาถึงเวลาบ่ายโมง
ชายคนนั้นก็บอกให้เพื่อนไปดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีว่า บ่ายโมงแล้วหรือยัง
เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า “เที่ยง…ยังไม่บ่าย” ทั้งสองก็นั่งรอรถกันต่อไป
นั่งรอกันอยู่พักใหญ่ ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกที ว่าบ่ายโมงหรือยัง
เพื่อนก็วิ่งไปดูอีก แล้วก็กลับมาบอกว่า “เที่ยง…ยังไม่บ่าย”
ก็นั่งรอรถกันอีก จนกระทั่งตะวันคล้อยไปแล้ว ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกสักที
เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า “เที่ยง…ยังไม่บ่าย” เหมือนเดิม
ชายคนนั้นก็เกิดความสงสัย จึงพูดกับเพื่อนว่า “ไหน นาฬิกาที่เอ็งวิ่งไปดูมันอยู่ตรงไหน”
เพื่อนก็พาไปดูพร้อมกับชี้บอกว่า “นี่ไงล่ะ”
ชายคนนั้นหัวเราะไม่ออกจึงพูดออกมาว่า
“โธ่เอ๋ย! นั่นมันเครื่องชั่งน้ำหนักต่างหาก ไม่ใช่นาฬิกา เอ็งเข้าใจผิดไปแล้ว

แหล่งอ้างอิง http://xn--o3cdbaaf0a2nen1byqc.whitemedia.org/

เค้กส้มในตำนาน

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:10 0 ความคิดเห็น

Mandarin Orange Cake เค้กส้มในตำนาน 

เค้กส้มในตำนาน...ช่างอร่อยสมชื่อจริงๆ เป็นสปองจ์เค้กสูตรแรกที่โน้ตทำเป็น แต่กว่าจะทำสปองจ์เค้กได้อย่างตอนนี้ก็ทุลักทุเลอยู่พอสมควร ทำเสียแล้วเสียอีก เป็นไตอยู่นั่นแหละ จนเกือบท้อ  แต่ด้วยความที่ต้องทำให้ได้นั่นแหละ จึงทำให้ต้องไปสืบเสาะหาเทคนิคมาให้ได้ และในที่สุดก็ได้สูตรดีๆ และเทคนิคดีๆ ทั้งจากคุณวรรณแมวอ้วน และแม่สลิ่ม ทำให้มีกำลังใจในการทำสปองจ์เค้กขึ้นมาค่ะ

สูตรตัวเค้กนะคะ (sponge cake) ขนาด 3 ปอนด์

แป้งเค้ก 100 g
ผงฟู 1 ชช
น้ำตาลทราย 80 g
เกลือ ¼ ชช
น้ำ 30 g
นมข้นจืด 40 g
ไข่ไก่ 3 ฟอง
เนยเค็มละลาย 80 g
SP 10-15 g
กลิ่นส้ม 1 ชช (คุณวรรณใช้ 1/2ชช)

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งกับผงฟู พักไว้2. วอร์มเตา 175องศาซี เตรียมพิมพ์ โดยปูกระดาษไขไม่ต้องทาไขมัน3. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ ไข่ไก่ นม น้ำ และส่วนผสมแป้ง ลงไปในชามผสม ตีด้วยความเร็วต่ำ 1 นาที 4. SP ปาดที่หัวตะกร้อ ตีด้วยความเร็วสูง 7 นาที (เมื่อยกหัวตีต้องไม่มีส่วนผสมหยด) หมั่นพักปาดอ่าง ระหว่างตีด้วย5. ตีด้วยความเร็วต่ำ 1 นาที ปาดอ่าง6. ใส่เนยสดละลายอุ่นถึงค่อนข้างร้อน (ค่อยๆ เทใส่ทีละช้อน) พักปาดอ่างด้วย ใส่กลิ่นส้ม ตีต่อด้วยความเร็วต่ำ 2 นาที แล้วตีด้วยความเร็วอีก 20 วินาที ปิดเครื่อง7. นำส่วนผสมเทใส่พิมพ์ เคาะก้นพิมพ์เบาๆ เพื่อไล่ฟองอากาศ 8. เอาใส่เตา อบด้วยไฟล่างอย่างเดียว ใช้เวลาอบ 25-30 นาที แล้วแต่เตา9. เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว นำออกจากเตาทันที กระแทกพิมพ์ 1 ครั้งบนโต๊ะ เพื่อให้โครงสร้างเค้กอยู่ตัว แล้ววางไว้บนตะแกรงให้อุ่น ใช้มีดแซะข้างขอบพิมพ์ คว่ำเนื้อเค้กลงบนตะแกรง ดึงกระดาษออกจากก้นเค้ก



สูตรซอสส้ม 2 ปอนด์ (3ปอนด์ ตัวเลขข้างหลังนะคะ)

น้ำส้มซันควิก ฝาแดง 75 กรัม (105 กรัม)
น้ำ 300 กรัม (450 กรัม)
แป้งกวนไส้ 25 กรัม (40 กรัม)
น้ำตาลทราย 90 กรัม (135 กรัม)
เนย 25 กรัม (40 กรัม)

วิธีทำซอสส้ม


1.เอาส่วนผสมทุกอย่าง ยกเว้นเนย ใส่ลงหม้อ ใช้ทัพพีคนให้แป้งละลายก่อน


2.นำไปตั้งไฟอ่อนๆ หมั่นคนอยู่เสมอ จนลักษณะข้นขึ้นเหมือนน้ำส้ม


3.ปิดเตาใส่เนย คนให้เนยละลาย และคลายร้อนเล็กน้อย แล้วนำไปราดเค้กได้เลย



 เตรียมส่วนประกอบทั้งหมดให้พร้อม และพิมพ์ขนาด 3 ปอนด์ กระดาษไข ไม่ต้องทาไขมันนะคะ




 วอร์มเตาอบที่ 180 องศาซี ไฟล่างอย่างเดียว (แต่เตาของโน้ตเองใช้ประมาณ 220 องศาซี ไม่รู้ว่ามีปัญหาที่ตัววัดอุณหภูมิรึเปล่า)


 ร่อนแป้งและผงฟู รวมกัน พักไว้


เตรียมน้ำตาลทราย และเกลือ น้ำและนม พักไว้




 ใส่น้ำตาลทราย เกลือ นม น้ำ และไข่ไก่ ในชามผสม


 ใส่แป้งลงไปในขั้นตอนนี้เลย แล้วผสมให้เข้ากันก่อน




ใส่ SP แล้วตีด้วยความเร็วสูงประมาณ 6 นาที ระหว่างนี้ต้องพักปาดอ่างเพื่อผสมให้เข้ากันด้วยนะคะ เมื่อครบเวลายกหัวตะกร้อขึ้นมาต้องไม่หยดแบบนี้




ตีต่อด้วยความเร็วต่ำประมาณ 1 นาที ระหว่างนี้เอาเนยไปละลายด้วยไมโครเวฟ แล้วคนให้คลายร้อน ต้องให้อุ่นๆ ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป ไม่งั้นเค้กจะเป็นไตนะคะ แล้วค่อยๆ ตักใส่ลงในโถตีขณะที่ตีด้วยความเร็วต่ำไปเรื่อยๆ แล้วต้องหยุดพักปาดโถให้ส่วนผสมเข้ากันด้วยค่ะ




 จากนั้นใส่กลิ่นส้มลงไป ขณะที่ตีด้วยความเร็วต่ำไปเรื่อยๆ แล้วตามด้วยสีส้มตามความชอบเลยค่ะ แล้วปาดอ่างผสมให้เข้ากันด้วย




จากนั้นตีด้วยความเร็วสูงซัก 20 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นความเร็วต่ำประมาณ 30 วินาทีเพื่อไล่ฟองอากาศจ้า


แล้วเทใส่พิมพ์ กระแทกพิมพ์ 1-2 ครั้ง นำเข้าเตาอบได้เลย อบประมาณ 30 นาทีค่ะ บางคนประมาณ 5 นาทีสุดท้ายจะเปิดไฟบนล่างด้วยเพื่อให้หน้าขนมสีสวย เมื่อเค้กสุกแล้วควรกระแทกพิมพ์ 1-2 ครั้งเพื่อให้เค้กอยู่ตัว แล้วทิ้งไว้ซักพัก แล้วใช้มีดหรือสปาตูลาแซะขอบก่อนคว่ำลงตะแกรงนะคะ


 อบเสร็จได้มาแบบนี้ค่ะ ควรปาดผิวเค้กรอบๆ ออกด้วยนะคะ เพราะเวลาราดซอสส้มแล้วจะสวยกว่าไม่ได้ปาดออก แล้วสไลด์เค้กเป็น 2-3 ชั้น ตามชอบได้เลย ((ควรพักให้เค้กเย็นก่อน))

***ซอสส้ม***
 เตรียมส่วนประกอบให้พร้อมเช่นเคย




ใส่ส่วนผสมทุกอย่าง ยกเว้นเนย ลงในหม้อ




 นำไปตั้งไฟอ่อนๆ คนตลอดจนเริ่มมีไอร้อนๆ ขึ้นมาแล้วก็จะเริ่มข้น หนืดขึ้น




พอซอสส้มเริ่มหนืดขึ้น ก็ใส่เนยลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ก็เสร็จแล้วค่ะ





ถ้าสนใจก็ลองทำรับประทานท่บ้านก็ได้นะค่ะ เพื่อว่าทำอร่อย จะได้เปิดร้านเป็นอาชีพของตนเอง
แหล่งอ้างอิง http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=benika&group=2&month=11-2010&date=16




อาเซียน คืออะไร

เขียนโดย ประวัติของฉัน ที่ 02:01 0 ความคิดเห็น



อาเซียน คือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ ASEAN) โดยการจัดตั้งในครั้งแรกมีจุดประสงค์เพื่อ ส่งเสริมและร่วมมือในเรื่องสันติภาพ,ความมั่นคง, เศรษฐกิจ, องค์ความรู้, สังคมวัฒนธรรม บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก
โดย อาเซียน ได้ก่อตั้งขึ้นโดย ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ประเทศคือ
1.ไทย โดย พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
2.สิงคโปร์ โดย นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
3.มาเลเซีย  โดย ตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ)
4.ฟิลิปปินส์ โดย นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
5.อินโดนีเซีย โดย นายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
ต่อมาได้มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม คือ  8 ม.ค.2527 บรูไนดารุสซาลาม, 28 ก.ค. 2538  เวียดนาม, 23 ก.ค. 2540 สปป.ลาว และ พม่า, 30 เม.ย. 2542 กัมพูชา ให้ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ
คำขวัญอาเซียน คือ หนึ่งวิสัยทัศน์, หนึ่งอัตลักษณ์, หนึ่งประชาคม (One Vision, One Identity, One Community)
สัญลักษณ์อาเซียน
asean-symbol
รูปรวงข้าวสีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมวีขาวและสีน้ำเงินรวงข้าว 10 ต้น มัดรวมกันไว้ หมายถึง ประเทศสมาชิกรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันพื้นที่วงกลม สีแดง สีขาว และน้ำเงิน ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกภาพ มีตัวอักษรคำว่า “asean” สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพรวงข้าวอันแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
สีน้ำเงิน  หมายถึง   สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง     หมายถึง   ความกล้าหาญ และความก้าวหน้า
สีขาว      หมายถึง   ความบริสุทธิ์
สีเหลือง  หมายถึง   ความเจริญรุ่งเรือง
อาเซียน รวมตัวกันเพื่อ ความร่วมมือกันทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม และได้มีการพัฒนาการเรื่อยมา จนถึงขณะนี้ที่เรามีกฎบัตรอาเซียน (ธรรมนูญ อาเซียน หรือ ASEAN Charter) ซึ่งเป็นเสมือนแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วย 3 สิ่งหลักๆ คือ
1.การเมืองความมั่นคง
2.เศรษฐกิจ (AEC)
3.สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีพัฒนาการไปด้วยกัน โดยเหตุที่คนส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ AEC ซึ่งก็คือด้านเศรษฐกิจหรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คงเป็นเพราะว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดูจะจับต้องได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ  อีกทั้งในการขับเคลื่อนส่วนใหญ่แล้วที่มักจะก้าวไปเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ก็คือภาคธุรกิจ ดังนั้น คนอาจจะรับรู้เรื่อง AEC มากกว่ามิติความร่วมมืออื่นๆ ของอาเซียน
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือทั้ง 3 เสาหลักของอาเซียนก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น เพราะการสร้างประชาคมอาเซียนย่อมหมายถึงการร่วมมือและหลอมรวมกันในทุกมิติ และแต่ละมิติก็ล้วนมีความสำคัญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เราคงไม่อาจผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้หากปราศจากความมั่นคงทางการเมือง หรือความเข้าใจกันของคนในอาเซียน
ขณะนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เรื่องการเปิดเสรีแรงงานในอาเซียนจะทาได้อย่างอิสระ ประเภทว่าข้ามฝั่งโขงไปก็หางานทำได้เลย ข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น เพราะการเปิดเสรีด้านแรงงานที่อาเซียนได้เจรจากันครอบคลุมเฉพาะในส่วนของแรงงานมีฝีมือ ขณะนี้อาเซียนได้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัติวิชาชีพเพียง 7 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก และชำงสำรวจ แต่การที่แรงงานมีฝีมือใน 7 สาขาดังว่าจะเข้ามาทำงานในประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้ จะต้องทาตามขั้นตอนและกฎระเบียบภายในประเทศต่างๆ อยู่ดี เช่น ถ้าจะมาทำงานในไทยก็ต้องผ่านการสอบใบประกอบวิชาชีพหรือผ่านขั้นตอนการประเมินตามเงื่อนไขภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแรงงานไร้ฝีมือไม่อยู่ในขอบเขตของการเปิดเสรีด้านบริการอาเซียน ดังนั้นการเปิดเสรีเป็นคนละส่วนกับปัญหาแรงงานต่างด้าวทั่วไป รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งในส่วนนั้น ประเทศไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดระเบียบ
เมื่อไม่นานมานี้มีการสอบถามความตระหนักรู้ของประชาชนใน 10 ประเทศสมาชิกเกี่ยวกับอาเซียน ปรากฏว่า ไทยอยู่ในอันดับท้ายๆ ขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน (CLMV) อย่าง ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และเวียดนาม กลับรู้จักและเห็นความสำคัญของอาเซียนมากกว่า เพราะเขาติดตามข่าวสารเกี่ยวกับประเทศไทย ซื้อสินค้าไทย ดูละครไทย และเรียนรู้ภาษาไทยกันมากขึ้น คนไทยเป็นคนเก่ง มีจุดแข็งและมีความโดดเด่นหลายด้าน และไม่ได้ด้อยเรื่องความรู้ความสามารถ แต่ยังมีจุดอ่อนอันดับแรกในเรื่องของภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาทางการของอาเซียน ซึ่งต้องพัฒนาอีกมาก
นอกจากนี้ เราต้องหันมาให้ความสนใจกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกันเองมากขึ้น ว่าตอนนี้เขาทำอะไรกัน มีพัฒนาการในเรื่องใด มีความแข็งแกร่งและมีจุดอ่อนในเรื่องไหน เพราะเมื่อรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนใน ปี 2558 ประเทศในอาเซียนจะมีการติดต่อกันมากขึ้น
ขณะที่องค์กรต่างๆในไทย ก็ต้องพัฒนาความรู้และติดตามข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนในสาขาที่เกี่ยวกับตนเอง เพื่อให้สามารถรับมือกับคู่แข่งจากอีก 9 ประเทศให้ได้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนไทยและประเทศไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงอยากให้มองว่าปี 2558 ที่อาเซียนจะก้าวสู่การเป็นประชาคม ไม่ได้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาเซียน แต่เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของอาเซียน และเราจำเป็นต้องเสริมสร้างการรวมตัวในเสาหลักทั้ง 3 เสาอย่างต่อเนื่องต่อไป
แหล่งอ้างอิง http://www.thai-aec.com/418
 

About me and stuff Copyright © 2010 Designed by Ipietoon Blogger Template Sponsored by Emocutez